เมื่อพูดถึงเรื่องภาษีหลาย ๆ คน โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ประจำจากการประกอบอาชีพ อาจจะพอคุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำทุกปี นั่นก็คือการคำนวณภาษีบุคคลธรรมดาเพื่อยื่นต่อกรมสรรพกรนั่นเอง ซึ่งการยื่นภาษีประจำปีถือเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีรายได้ทุกคน จะต้องยื่นถึงแม้ว่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ต้องเสียภาษีก็ตาม เพื่อแสดงถึงรายละเอียดของรายได้นั้น ๆ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร โดยจะมีช่วงเวลาในยื่นปีละครั้งประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมของทุก ๆ ปี และสามารถยื่นผ่านทางระบบออนไลน์ ผ่านโทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าสะดวกสบายสุด ๆ เลยทีเดียว

             สำหรับวิธีคำนวณภาษีที่ต้องเสียนั้นก็จะมีความแตกต่างกันโดยใช้รายได้สุทธิเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งรายได้สุทธินั้นก็คือรายได้ที่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว โดยเกณฑ์รายได้ที่ใช้ก็จะแบ่งตามรายได้สุทธิ ดังนี้

• รายได้สุทธิ 0-150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี
• รายได้สุทธิ 150,001-300,000 บาท เสียภาษีในอัตรา 5%
• รายได้สุทธิ 300,001 – 500,000 บาท เสียในอัตรา 10%
• รายได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท เสียใจอัตรา 15%
• รายได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท เสียในอัตรา 20%
• รายได้สุทธิ 1,000,001 – 2,000,000 บาท เสียในอัตรา 25%
• รายได้สุทธิ 2,000,001 – 5,000,000 บาท เสียในอัตรา 30%
• และรายได้ตั้งแต่ 5,000,001 บาทขึ้นไปจะเสียในอัตรา 35%

ยกตัวอย่างการคำนวณ เช่น คุณมีรายได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ อยู่ที่ 500,000 บาท อัตราการเสียภาษีก็จะเป็นดังนี้

• รายได้ 0-150,000 บาท ยกเว้นอัตราภาษี
• รายได้ 150,001-300,000 บาท คิดอัตราภาษี 5%  ทำให้ต้องเสียภาษีที่ 7,500 บาท
• รายได้ 300,001-500,000 บาท คิดอัตราภาษี 10% ทำให้ต้องเสียภาษีที่ 20,000 บาท

             ซึ่งเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมคำนวณภาษีออกมามากมายไว้คอยช่วยคุณให้คำนวณได้อย่างแม่นยำ โดยโปรแกรมเหล่านี้เป็นแอปพลิเคชัน ที่ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยในการคำนวณอัตราภาษีของเราอย่างละเอียดและถูกต้องผ่านทางโน๊ตบุ๊คหรือหรือสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว เรียกได้ว่าทำได้ง่าย ๆ แค่คลิกเมาส์ ใส่ข้อมูลทางการเงินลงไปให้ครบถ้วน ทั้งรายได้ ค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่าง ๆ ก็จะสามารถตรวจสอบได้แล้วว่าเรามีสถานะที่จะต้องเสียภาษีเพิ่มหรือไม่ และจะได้เตรียมวางแผนทางภาษีของตัวเองให้เหมาะสมที่สุดนั่นเอง สำหรับค่าลดหย่อนภาษีนั้นก็จะมีด้วยกันหลายอย่างซึ่งคุณสามารถตรวจดูได้ว่าคุณสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนอะไรได้บ้างและใช้ได้ในจำนวนเท่าใด โดยจะแบ่งเป็น

หมวดค่าลดหย่อนส่วนตัว

 ใช้ลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาททันทีที่ยื่นแบบเสียภาษี นอกจากนั้นยังมีค่าลดหย่อนคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสและไม่มีรายได้, ค่าลดหย่อนบุตร, ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร, ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา, ค่าอุปการะคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ

หมวดค่าลดหย่อนกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน

 ซึ่งจะแบ่งเป็นประกันสังคม, เบี้ยประกันชีวิต, เบี้ยประกันสุขภาพ, เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา, เบี้ยประกันชีวิตคู่สมรส, เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายต่าง ๆ, เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนรวม RMF และ SSF

             นอกจากนั้นยังมีหมวดค่าลดหย่อนด้านอสังหาริมทรัพย์ คือค่าลดหย่อนดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ค่าลดหย่อนจากเงินบริจาค และค่าลดหย่อนพิเศษของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นค่าลดหย่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ค่าลดหย่อนเมื่อซื้อสินค้า OTOP หรือค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวในประเทศ หรือค่าซ่อมแซมบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ค่าซื้อหนังสือ เป็นต้น ซึ่งสามารถนำมาประกอบในการคำนวณภาษีได้ทั้งสิ้น จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าเรื่องของภาษีนั้นมีความละเอียดอยู่พอสมควร เพราะฉะนั้นหากเราไม่ศึกษารายละเอียดตรงนี้ให้เข้าใจ ก็อาจจะทำให้เราพลาดการใช้สิทธิ์ต่าง ๆ ไปได้ง่าย อีกทั้งยังอาจจะทำให้อัตราภาษีที่เราคำนวณออกมานั้นไม่ถูกต้องได้ รู้แบบนี้แล้วใครที่กำลังเตรียมตัวยื่นเสียภาษีอยู่ ก็อย่าลืมลองตรวจสอบความถูกต้องและสิทธิ์ของตัวเองกันอย่างละเอียดด้วย เพียงเท่านี้เรื่องของภาษีก็จะไม่ใช่เรื่องยาก และทำให้เราต้องปวดหัวอีกต่อไปแล้ว

เตรียมตัวพบกับ Shopee 3.3 Fashion Sale ที่สุดของมหกรรมสินค้าแฟชั่นลดราคาในประเทศไทย! ยกทัพสินค้าแฟชั่นและบิวตี้แบรนด์ดัง และร้านแฟชั่นปังๆ จาก IG ไม่ว่าจะเป็น Basics by Sita, Malimays, Fadthings, Flat2112 ฯลฯ มาจัดโปรโมชั่น Sale กระหน่ำ แจก Voucher เว่อร์วังมหาศาลมากกว่า 1 ล้านดีล! มาพร้อมโปรโมชั่นส่งฟรีขั้นต่ำ 0 บาทที่ให้คุณช้อปได้คุ้มที่สุด! ห้ามพลาดส่วนลดฟินๆ 33% ทุกวัน และดีลแฟชั่นราคาพิเศษสุด 4 ชั่วโมงทุกวันกับ Late Night Sale เวลา 20:00 – 24:00 น. รีบช้อปด่วน! ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2020 – 3 มีนาคม 2020 นี้!